ป้ายกำกับ
- การศึกษา (20)
- ดวงชะตา (19)
- ต้นไม้ใบหญ้า (13)
- ท่องเที่ยว (10)
- ประเพณีไทย ฮีตสิบสอง (2)
- ผักสมุนไพร (14)
- สัตวเลี้ยง (4)
- สัพเพเหระ (3)
31.8.54
28.8.54
แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่ง อยู่ที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี
ร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทยสมัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรู้ความสามารถหรือภูมิปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิตและสร้างสังคม-วัฒนธรรมของมนุษย์ได้สืบเนื่องต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน วัฒนธรรมบ้านเชียงได้ครอบคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคอีสานอีกกว่าร้อยแห่ง ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่อาศัยหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เององค์การยูเนสโกของสหประชาชาติจึงได้ยอมรับขึ้นบัญชีแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงไว้เป็น มรดกโลก
ศิลปะเครื่องปั้นดินเผา ของบ้านเชียงนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ได้แก่
- ภาชนะดินเผาสมัยต้น อายุ 5,600-3,000 ปี มีลายเชือกทาบ ซึ่งคาดกันว่าเป็นปอกัญชา ทั้งยังมีลายขูดขีด และมีการเขียนสีบ่า โดยพบวางคู่กับโครงกระดูก บางใบใช้บรรจุศพเด็กด้วย
- ภาชนะดินเผาสมัยกลาง อายุ 3,000 ปี-2,300 ปี สมัยนี้เป็นสมัยที่เริ่มมีการขีดทาสีแดงแล้ว
- ภาชนะดินเผาสมัยปลาย อายุ 2,300 ปี-1,800 ปี เป็นยุคที่มีลวดลายที่สวยงามที่สุด ลวดลายพิสดาร สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่สงบสุข ก่อนที่จะกลายมาเป็นการเคลือบน้ำโคลนสีแดงขัดมัน
27.8.54
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่ซึ่งแสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์ และการ เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศซึ่งมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นหินทรายที่ถูกขัดเกลาจากขบวนการกัดกร่อนทางธรรมชาติ ทำให้เกิดเป็นโขดหินน้อยใหญ่รูปร่างต่างๆ กัน ปรากฏเป็นหลักฐานเกี่ยวกับ ชีวิตผู้คนในอดีตที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ
ตั้งอยู่บริเวณทางแยกซ้ายมือก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2463-2477 ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ คำว่า "บัวบก" เป็นชื่อของพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งที่เกิดตามป่า มีหัวและใบคล้ายใบบัว ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า ผักหนอก บัวบกนี้คงจะมีอยู่มากในบริเวณที่พบรอยพระพุทธบาทจึงเรียกรอยพระพุทธบาทนี้ว่า "พระพุทธบาทบัวบก" หรือคำว่าบัวบกอาจจะมาจากคำว่า บ่บกซึ่งหมายถึง ไม่แห้งแล้ง รอยพระพุทธบาทมีลักษณะเป็นแอ่งลึกประมาณ
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระพุทธบาทบัวบก มีลักษณะเป็นรอยพระบาทสลักลึกลงไปในพื้นหินลึกประมาณ
ตั้งกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณอุทยานฯ แห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ในระยะทางไม่ไกลนัก ได้แก่ ถ้ำลายมือ ถ้ำโนนสาวเอ้ ถ้ำคน ถ้ำวัวแดง (ซึ่งถ้ำเหล่านี้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่พำนักของมนุษย์สมัยหิน และมนุษย์เหล่านั้นได้เขียนรูปต่างๆ ไว้ เช่น รูปคน รูปมือ รูปสัตว์ และรูปรายเลขาคณิต) นอกจากนั้นยังมีลานหินที่สวยงาม คือ ลานหินโนนสาวเอ้ ธรรมชาติได้สร้างเพิงหินต่างๆ ไว้ ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆ ได้จินตนาการผูกเป็นเรื่องตำนานพื้นบ้าน คือ เรื่อง "นางอุสา-ท้าวบารส" เพิงหินที่สวยงามเหล่านี้ ได้แก่ คอกม้าท้าวบารส หอนางอุสา บ่อน้ำนางอุสา นอกจากนั้นยังพบชิ้นส่วนหลักเสมาและหินทรายจำหลัก พระพุทธรูปศิลปะสมัยทวาราวดี ที่เพิงหิน วัดพ่อตาและเพิงหินวัดลูกเขย
25.8.54
สวนสาธารณะหนองประจักษ์
|
|
ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล หนองประจักษ์เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี เดิมเรียกว่า “หนองนาเกลือ” ตั้งอยู่ทิศทางตะวันตกของตัวเมือง เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ทรงก่อตั้งเมืองอุดรธานี ในปี พ.ศ. 2530 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “หนองประจักษ์” เมื่อเทศบาลนครอุดรธานี ได้ปรับปรุงภูมิทัศน์หนองประจักษ์ใหม่ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยบริเวณตัวเกาะกลางน้ำได้จัดทำสวนหย่อม ปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดสวยงามมาก ทำสะพานเชื่อม ระหว่างเกาะ มีน้ำพุ หอนาฬิกา และสนามเด็กเล่น แต่ละวันจะมีประชาชนไปพักผ่อนและออกกำลังกายเป็นจำนวนมาก |
|
24.8.54
การบ้านสถิติ
แบบฝึกหัด 3.6.5
2.ถ้าความสูงของนักศึกษา 300 คน มีการแจกแจงปกติ มีค่าเฉลี่ย
ก.ต่ำกว่า
ข.ระหว่าง 63.5-
ให้ x แทนความสูงของนักเรียน
X~N (62,60)
ก. หา P(X<60)
ดังนั้นหาค่า Zเมื่อ X=60
Z=X - µ/ σ
= 60-62/5
= -2/5
= -0.4
ดังนั้น P(X<60) = P(Z<-0.4) =0.3446
จะได้ = มีนักเรียน300X 0.3446 = 103.68
ตอบ มีนักเรียน ประมาณ 104 คน ที่มีความสูงต่ำกว่า
ข. หา P(63.5
ดังนั้นหาค่า Zเมื่อ X=63.5 ; X=65.5
เมื่อ X=63.5
Z=X - µ/ σ
= 63.5-62 /5
= 1.5/5
= 0.3
เมื่อ X=65.5
= 63.5-62/5
= 3.5/5
= 0.7
ดังนั้น P(63.5
จะได้ = มีนักเรียน300X 0.1401 =42.03
ตอบ มีนักเรียน ประมาณ 42 คน ที่มีความสูงระหว่าง63.5-
การเลี้ยงปลาคราฟ
.....ปลาคาร์ฟ ทางสมาพันธ์ ผู้เลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ฟแห่งญี่ปุ่น ได้แบ่งประเภทได้ดังต่อไปนี้
1. โคฮากุ -> มีสีแดงขาวสลับกัน นับเป็นพันธุ์มารตฐานที่นิยมเลี้ยงกันมาก
2. ไทโช-ซันเก้ -> มีสีขาวแดง และดำสลับกัน แต่ที่หัวจะมีสีแดงเป็นหลักมีสีดำมาสลับ
3. โชวา-ซันโซกุ -> มีสีแดง ขาว และดำ โดยมีสีแดงขาวเป็นหลัก และมีสีดำมาสลับลำตัวถึงใต้ท้อง
4. อุตซูริโมนะ -> มีสีดำเป็นลายแถบ คล้ายตาข่ายสลับด้วยสีขาว
5. เบกโกะ -> มีลายเหมือนกระดองเต่า มีสีดำเป็นตาสลับเหมือนตาข่ายตลอดทั้งลำตัว เกล็ดสีขาว
6. อาซากิ ซูซุย -> พันธุ์นี้ผสมของเยรมัน มีวีน้ำเงินอ่อนสลับเทา มีลายเหมือนตาข่ายคลุมอยู่ทั้งตัว
7. โคโรโมะ -> พันธุ์นี้ผสมระหว่างโคฮากุกับอาซากิ ลำตัวจึงมีเกล็ดสีน้ำเงินเหลือบผสมตลอดทั้งตัว
8. คาวาริโมโนะ -> พันธุ์นี้มีสีสันประหลาดกว่าปลาพันธุ์อื่น เข้าใจว่าเกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์เบกโกะกับคินกินริน
9. โอกอน -> พันธุ์เหลืองทองมีเกล็ดสีขาวเงางาม และมีสีทองผสมกับสีเหลืองอร่ามทั้งตัว
10.ฮิการิ-อุตซูริโมนะ -> ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีสีแดงเป็นหลักสลับดำตลอดทั้งตัว
11.ฮิการิโมโย-โมนะ -> ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีสีแดงเป็นหลักสลับกันตลอดทั้งตัว
12.คินกินริน -> เกร็ดสีทองและเงินสลับกันทั้งตัว กลางลำตัวและส่วนท้ายมีสีแดงมาปะปนบ้าง
13.ตันโจ -> ลำตัวขาวบริสุทธิ์ ที่หัวมีจุดสีแดงเข้ม พันธุ์นี้ดูสวยงามอละเด่นกว่าพันธุ์อื่นมาก
วิธีเลี้ยงปลาคาร์ฟ -> ควรเริ่มต้นด้วยการขุดบ่อขนาด 80 x 120 ลึก 50 เซนติเมตร มีสะดือที่ก้นบ่อขนาด 1 x 2 ฟุต ลึกประมาณ 4-6 นิ้ว เพื่อเป็นไว้ที่เก็บปลาและสิ่งสกปรก และติดตั้งระบบถ่ายเทน้ำเสียเพื่อช่วยให้น้ำในบ่อสะอาดอยู่ตลอดเวลาด้วย
บ่อที่จะใช้เลี้ยงปลาคาร์ฟ -> ควรเป็นบ่อซีเมนต์เพราะสามารถดัดแปลงเป็นบ่อธรรมชาติได้ง่าย มีตะใคร่น้ำเกิดและเกาะได้เร็ว ซึ่งตะใคร่น้ำนั้นจะเป็นอาหารที่ดีของปลาและสามารถดูดสิ่งสกปรหและแอมโมเนียที่อยู่ในน้ำได้อีกด้วย และบ่อนี้ควรจะตั้งอยู่ในที่มีร่มเงาต้นไม้ใหญ่ได้ร่มรื่นพอควร อย่าให้อยู่กลางแจ้งเพราะจะทำให้ปลามีสัสันที่จืดจางลง และยังโตช้าลงไปอีกด้วย
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาคาร์ฟ -> ควรเป็นน้ำประปาจะดีกว่าน้ำชนิดอื่น เพราะน้ำประปามีสภาพเป็นกลาง ถ้าใช้น้ำฝนจะทำลายสีของปลาและปลาอาจเกิดโรคได้ง่าย ส่วนน้ำจากแม่น้ำลำคลองก็ไม่เหมาะ เพราะอาจมีเชื้อโรคติดมาเป็นอันตรายกับปลาได้ หากไม่มีน้ำประปา ต้องใส่ยาฆ่าเชื้อและเติมปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำจากกรดให้เป็นกลางเสียก่อน แล้วค่อยนำมาเลี้ยงปลาได้
บ่อที่ใช้เลี้ยงปลาคาร์ฟ (เพิ่มเติม) -> ทางที่ดีต้องติดตั้งระบบหมุนเวียนของน้ำ และเครื่องพ่นน้ำ เป็นการเพิ่มออกซิเจนให้น้ำในบ่อถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา และมีออกซิเจนเพียงพอกับปลาด้วย
การนำปลาคาร์ฟมาเลี้ยง -> เมื่อเตรียมบ่อและน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การจะหาปลาคาร์ฟมาเลี้ยง ควรหาลูกปลาที่มีอายุ 1-2 ปี มาเลี้ยง ไม่ควรจะนำปลาขนาดใหญ่มาเลี้ยง และปลาชนิดอื่นหากไม่จำเป็นไม่ควรนำมาเลี้ยงรวมกับปลาคาร์ฟ เพราะอาจนำเชื้อโรคมาให้ปลาคาร์ฟได้
อาหารที่ปลาคาร์ฟชอบ -> คือ เนื้อปลาป่น กุ้งสดบด เนื้อหอย เนื้อปู ปลาหมึก ข้าวสาลี รำ ผักกาด ข้าวโพด แมลง สาหร่าย ตะใคร่น้ำ แหน ลูกน้ำ หนอนแดง ถั่วเหลือง ขนมปัง และอาหารสำเร็จรูปที่มีขายตามท้องตลาด
หลักการให้อาหารปลาคาร์ฟ -> ควรให้ไม่เกินวันละ 2 เวลา คือเช้ากับเย็น ข้อควรจำในการให้อาหารคือ ต้องให้ตามเวลา เพื่อปลาจะเกิดความเคยชินและเชื่องกับผู้ที่เลี้ยง และอาหารที่ให้ต้องกะให้พอกับจำนวนปลา อย่าให้น้อยหรือมากเกินไป ทั้งนี้ต้องคอยสังเกตว่า ปลากินอาหารอย่างไร? ถ้าอาหารหมดเร็ว แสดงว่าปลายังต้องการอาหารเพิ่ม ก็เพิ่มลงไปอีเล็กน้อย แต่ถ้าอาหารยังลอบน้ำอยู่ ก็รีบตักออกเพราะว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้น้ำเสียเร็ว
การเปลี่ยนน้ำ -> เมื่อสังเกตเห็นน้ำในบ่อเริ่มขุ่นและมีสิ่งสกปรกมาก ต้องรีบเปลี่ยนน้ำทันที และขณะที่ถ่ายน้ำ ออก 1 ใน 3 ส่วนของบ่อจะต้องเพิ่มน้ำใหม่แทนในปริมาณเท่าเดิมโดยใช้น้ำประปาที่เก็บไว้ประมาณ 2-3 วันหลังจากที่คอรีนระเหยแล้ว อย่าใช้น้ำประปาที่รองจากก๊อกใหม่ๆ หรือน้ำประปาที่เก็บไว้นานเพราะจะเกิดอันตรายต่อปลาได้
การรักษาระดับอุณหภูมิน้ำในบ่อ -> ควรรักษาระดับอุหภูมิของน้ำในบ่อ ให้อยู่ในระดับ 20-25 องศาเซ็นติเกรด หากร้อนจัดหรือเย็นจัด จะทำให้ปลาเติบตอย่างเชื่องช้า
การรักษาและป้องกันโรคของปลาคาร์ฟ -> โรคที่เกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้ :)
1.โรคโซโคลกิต้า -> เกิดจากการถ่ายน้ำในบ่อบ่อยครั้งเกินไป การย้ายปลาบ่อยครั้งเกินไป เชื้อโคลกิต้าที่อยู่ในน้ำจะทำลายปลา ทำให้เกิดเป็นแผลขุ่นที่ผิวหนังและตายไปในที่สุด
วิธีรักษา -> ควรใช้เกลือป่นและด่างทัทิมละลายละลายให้เจือจางลงในน้ำ เพื่อฆ่าเชื้อโซโคลกิต้า ก่อนจะนำไปใช้เลี้ยงปลา สำหรับในรายที่ปลาเป็นโรคนี้ ให้แช่ปลาในน้ำยานี้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
2.เหงือกเน่า -> เกิดจากเชื้อราคอลัม พาริส ทำให้ปลามีอาการซึม และกินอาหารได้น้อยลง ไม่มีแรงว่าย
วิธีรักษา -> ใช้ยาปฏิชีวนะ ออริโอมัยซินผสมกับอาหาร ในอัตราส่วน 1 ช้อนต่ออาหารปลา 1 ขีด ให้ปลากินติดต่อกัน 3-4 วัน และจับปลาที่มีอาการมากในน้ำที่ผสมกับฟูราเนสเป็นเวลา 10 นาทีทุกวัน จนปลามีอาการดีขึ้น
3.หางและครีบเน่า -> เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในน้ำซึ่งเนื่องมาจากปลาขี้และเศษอาหาร ที่ตกค้างอยู่ในบ่อทำให้ครีบและปลายหางหลุดหายไป และจะลามไปทั่วตัว
วิธีรักษา -> ต้องรีบถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อโดยเร็วพร้อมกันนั้น ใช้มาลาไคท์กรีนผสมกับน้ำในอัตรา 1 ขีด ต่อน้ำ 1 ลิตร จับปลาแช่ในน้ำดังกล่าวติดต่อกัน 3-4 วัน จนดีขึ้น
4.เนื้อแหว่ง -> เกิดจากปลาได้รับบาดเจ็บเพราะถูกหินหรือต้นไม้ในบ่อ จนเป็นแผลแล้วเชื้อโรคจากน้ำที่สกปรกเกาะตามผิวหนัง ทำให้เกล็ดหลุดแล้วมีจุดขาวๆ ตามลำตัวเกาะติดตามผิวหนัง ทำให้เกิดอาการอักเสบบวมเป็นรอยช้ำเลือด จนตายไปในที่สุด
วิธีรักษา -> ใช้ยาปฏิชีวนะออริโอมัยซิน ผสมกับอาหารในอัตรา 1 ช้อนชา ต่ออาการ 1 ขีด ให้ปลากินติดต่อกันจนหายขาด
5.เชื้อราบนผิวหนัง -> เกิดจากเชื้อราแพร่กระจายบนผิวหนังปลา ทำให้เนื้อปลาเน่าเปื่อย ถ้าไม่รีบเร่งรักษาปลาจะตายเร็ววัน
วิธีรักษา -> นำปลามาแช่ในน้ำที่เจือด้วยเกลือป่นจางเอาสำลีชุบน้ำยาฟูราเนสทำความสะอาดที่บาดแผลแล้วจับปลาแช่ในน้ำผสมยา ฟูราเนสติดต่อกัน 5-7 วัน จนกว่าปลาจะหายขาด
6.ผิวหนังขุ่น เกล็ดพอง -> เกิดจากการที่ให้อาหารที่มีโปรตีนและไขมันมากเกินไป ปลาปรับตัวไม่ทัน จะทำให้ระบบย่อยอาหารของปลาไม่ทำงาน ตามผิวหนังจะเห็นรอยเส้นเลือดขอดขึ้น ผิวหนังเริ่มบวมและอักเสบ
วิธีการรักษา -> ต้องแช่ปลาในน้ำเกลือจางๆ และให้กินอาหารผสมด้วยยาปฏิชีวนะออริโอมัยซิน และให้กินอาหารประเภทผักเสริมมากกว่าเดิม
7.ลำใส้อักเสบ -> เกิดจากการที่ปลากินอาหารหมดอายุ มีเชื้อราปนอยู่ในอาหาร อาการเช่นนี้จทำให้ปลาไม่ค่อยกินอาหาร มีมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ บางครั้งจะถ่ายออกมาเป็นน้ำขุ่นๆ
วิธีรักษา -> ต้องรีบทิ้งอาหารเก่าทั้งหมด เอาปาขึ้นมาแช่น้ำเกลือที่เจือจาง แล้วให้อาหารอ่อนๆ เช่น ลูกไรแดงหรือเนื้อปลาบดอ่อน แล้วค่อยให้อาหารสำเร็จรูปตามปกติ
8.เห็บ -> เกิดจากตัวที่ติดมากับอาหารประเภทผัก ซึ่งขาดการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง และติดตัวมากับปลาตัวใหม่ ตัวเห็บนี้มักจะเกาะอยู่ใต้เกล็ดปลา ดูดเลือดปลาเป็นอาหาร ทำให้ปลาว่ายน้ำติดขัดไม่สะดวก ปลาจะเอาตัวถูตามผนังบ่อหรือเศษหินภายในบ่อ จนเกิดบาดแผลในเวลาต่อมา
วิธีรักษา -> ใช้น้ำยามาโซเต็นผสมลงในบ่อเพื่อป้องกัน ทำลายตัวเห็บติดต่อกันราว 2-3 อาทิตย์ แล้วค่อยหยุดใช้ยา
9.หนอนสมอ -> ศัตรูร้ายอีกชนิดหนึ่งของปลาคือ หนอนรูปร่างคล้ายสมอ ยาวเหมือนเส้นด้าย มันจะเจาะผนังตัวปลาทำให้ติดเชื้อได้ และตามผิวหนังปลาจะมีรอยสีแดงเป็นจ้ำๆ ครีบและเหงือกจะอักเสบ ปลามีอาการซึมเบื่ออาหาร
วิธีรักษา -> เช่นเดียวกับการรักษาเห็บ กล่าวคือ นำน้ำยามาโซเต็นผสมกับน้ำ จับปลาแช่น้ำยาทุกๆ 3 วัน จนกระทั่งปลามีอาการดีขึ้น และในบ่อเลี้ยงก็ควรหยดน้ำยานี้ลงฆ่าทำลายไข่ตัวหนอนสมอด้วย
10.พยาธิเส้นด้าย -> ติดมาจากอาหาร ลูกน้ำหนอนแดง ที่ปลากินเข้าไป จะเจาะเข้าไปเจริญเติบโตในตัวปลา และออกมาสร้างรังตามผิวหนังใต้เกล็ดปลา ทำให้ผิวหนังปลาแดงช้ำๆ
วิธีรักษา -> ให้นำปลาไปแช่ในน้ำเกลือที่เจือจางประมาณ 1-2 วัน พยาธิก็จะตายและปลามีอาการดีขึ้นและควรใส่น้ำยามาโซเต็นผสมลงในบ่อ เพื่อฆ่าใข่ของมันด้วย
การเพาะพันธุ์ปลาคาร์ฟ -> การเพาะพันธุ์ปลาคาร์ฟ ต้องเริ่มจากการคัดเลือกพันธุ์พ่อ พันธุ์แม่ที่ดีก่อน ทั้งนี้ เพื่อจะได้ลูกปลาที่ดีและแข็งแรง
หลักการพิจารณาคัดเลือกพันธุ์ -> การเลือกพันธุ์ พ่อ-แม่ ของปลาคาร์ฟนั้น ควรพิจารณาที่สีสันสวยสดใส รูปร่างขนาดเดียวกัน อายุของปลาต้องอยู่ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ตัวปลาขนาด 40-50 เซนติเมตร
การดูเพศปลาคาร์ฟ -> การดูเพศของปลาคาร์ฟว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมียนั้น มีข้อควรสังเกตดังนี้
1.รูปร่างตัวเมียมีขนาดใหญ่และสวยกว่า ตัวผู้รูปร่างสั้น
2.ส่วนหัวของตัวเมียได้ส่วนสัดกับลำตัว ส่วนตัวผู้หัวใหญ่ ตัวสั้น
3.ท้องตัวเมียดูอ้วนและจับดูนิ่ม ตัวผู้ท้องแห้งไม่นิ่ม
4.ครีบหางตัวเมียไม่แข็ง ตัวผู้แข็งแรงกว่า 5.ช่องทวารตัวเมียยาวตามขวาง นูนขึ้น ตัวผู้ยาวตามลำตัว แฟบและแบน เมื่อกดตรงช่องทวารตัวเมียจะมีขี้ออกมาอย่างเดียว ส่วนตัวผู้จะมีน้ำขุ่นๆ ไหลออกมา โดยเฉพาระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะมีเม็ดเล็กๆ เป็นจุดขาวๆ เรียงขึ้นตั้งแต่ครีบ แก้มจนถึงช่องท้อง
เมื่อคัดเลือกพันธุ์ได้แล้ว เอาสาหร่ายเทียมที่ทำด้วยไนล่อนวางไว้ลงในอ่าง สำหรับเป็นที่วางไข่ให้ตัวเมียวางไข่ในเวลากลางวัน โดยตัวผู้จะไล่ให้ตัวเมียวางไข่จนหมด แล้วตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อผสม
.....ตอนเช้า หลังจากวางไข่และผสมน้ำเชื้อแล้ว จับปลาตัวผู้และตัวเมียออก ให้ไข่เริ่มฟักตัว ภายใน 3 วัน ไข่จะเริ่มฟัก และประมาณ 15 วันต่อมา จะเป็นตัวอ่อน
.....ช่วงเวลาที่เป็นตัวอ่อนนี้ ควรให้แพลงค์ตัน ลูกไรแดง หรือไข่แดงสุก กรองผ้าให้ตัวอ่อนกิน แต่ระวังอย่าให้กินมากและอย่าให้น้ำเสีย จากนั้นประมาณ 3 เดือน ลูกปลาจะเริ่มแสดงสีสันแสดงให้รู้ว่าเป็นปลาคาร์ฟชนิดไหน